น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.70-34.72 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าวันนี้ (09.35 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.76 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวเป็นกรอบ (จากที่แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากเมื่อวานนี้ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังการปรับกรอบการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลของ BOJ) โดยในระหว่างวันอาจต้องติดตามแรงกดดันด้านอ่อนค่าของเงินบาทจากสัญญาณขายสุทธิของต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย (บอนด์)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.55-34.75 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย และตัวเลขยอดขายบ้านมือสองเดือน พ.ย. และ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค. ของสหรัฐ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ เคลื่อนไหวผันผวน หลังจากที่ล่าสุด ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ขยายกรอบบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น เป็น 0.00%+/-0.50% จากเดิน 0.00%+/-0.25% ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ก็ปรับตัวขึ้น +10bps สู่ระดับ 3.70% กดดันให้ ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐ ยังไม่กล้ากลับเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อย่างเต็มที่ แม้ว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะปรับตัวลงมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Chevron +1.6%, Exxon Mobil +1.5%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และความหวังว่าทางการสหรัฐ อาจทยอยซื้อน้ำมันเข้าสู่คลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR) ทำให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.10%
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.40% กดดันโดยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ ASML -1.4%, Adyen -1.3% หลังจากบอนด์ยีลด์ระยะยาวในฝั่งยุโรปก็ปรับตัวขึ้นตามบอนด์ยีลด์ 10 ปีของญี่ปุ่น จากการขยับกรอบของ BOJ นอกจากนี้ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีนได้กลับมากดดันให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างก็ปรับตัวลดลง (Kering -3.8%, Hermes -0.9%) ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนธันวาคมที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -22.2 จุด ซึ่งพอช่วยลดความวิตกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในฝั่งยุโรปได้บ้าง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก (ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงใกล้ระดับ 104 จุด) กดดันโดยการปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังจากที่ BOJ ได้ขยับกรอบบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดการณ์ว่า BOJ อาจเริ่มทยอยปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายน้อยลง เช่นเดียวกับที่บรรดาธนาคารกลางหลักได้ทำมาก่อนหน้านี้ (ล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOJ อาจทยอยขึ้นดอกเบี้ย ครั้งละ +10bps หรือ +0.10% ได้ราว 3 ครั้ง ในปีหน้า)คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
นอกจากนี้ แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ จะปรับตัวสูงขึ้น แต่บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนักและการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านสู่ระดับ 1,827 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว อาจมีโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำเกิดขึ้น ซึ่งโฟลว์ดังกล่าวก็มีส่วนช่วยทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ซึ่งตลาดประเมินว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม อาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 101 จุด ตามภาพตลาดแรงงานสหรัฐ ที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้จะชะลอตัวลงบ้าง ส่วนปัญหาเงินเฟ้อสูงก็เริ่มจะคลี่คลายลงมากขึ้น
ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า แม้ว่าเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ แต่เงินบาทก็อาจไม่ได้แข็งค่ามากกว่าโซนแนวรับที่มองว่า แถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากประเมินว่า หากตลาดการเงินยังคงเผชิญความผันผวนต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า ก็มีโอกาสที่ผู้เล่นต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยเพิ่มเติมได้ (นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย -1.7 พันล้านบาทในวันก่อน)
นอกจากนี้ จากแนวโน้มบอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นก็อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายทำกำไรบอนด์ระยะยาวของไทยได้เช่นกัน (เริ่มเห็นการทยอยขายทำกำไรบอนด์ระยะยาวบ้าง แต่ยังไม่มากนัก) และที่น่าสนใจ มองว่า นักลงทุนต่างชาติบางส่วนอาจใช้จังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้นใกล้โซนแนวรับ ในการทยอยขายทำกำไรสถานะ Short USDTHB ซึ่งส่วนหนึ่งได้สะท้อนผ่านยอดขายสุทธิบอนด์ระยะสั้นในสัปดาห์นี้เกือบ -8 พันล้านบาท